ซ่อมเบรค
ซ่อมเบรค
ซ่อมเบรค เป็นการซ่อมรถเริ่มตั้งแต่ดรัมเบรคไปจนถึงดิสก์เบรค คาลิปเปอร์เบรคไปจนถึงจานเบรค ช่างผู้ชำนาญการจาก FIT Auto เข้าใจระบบเบรกและสามารถส่งมอบการบริการ
และการตรวจสอบ รวมทั้งเปลี่ยนผ้าเบรกหรือเจียรจานเบรคให้รถยนต์ได้เกือบทุกรุ่น รวมไปถึงระบบเบรคที่เป็นรุ่นของ ABS (Anti-Lock Brake System)ที่ทำให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และสบายใจทุกครั้งที่เหยียบเบรค

การตรวจสอบผ้าเบรคและระบบเบรค
การนำรถเข้าตรวจหรือเช็คผ้าเบรคนั้นจำเป็น ซึ่งควรเข้าเช็คทุกๆ 20,000 กม. หรืออย่างน้อยปีละครั้ง ช่างผู้เชี่ยวชาญ ที่ FIT Auto จะตรวจสอบระบบเบรกเบื้องต้นว่ายังสามารถทำงานได้ดี ตรวจหาว่ามีการสึกหรอหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบ ปัญหาต่างๆ และสามารถให้คำแนะนำที่อิงจากคำแนะนำของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์แต่ละยี่ห้อ รวมทั้งตรวจสอบ ส่วนประกอบของชุดผ้าเบรกที่ส่งผลต่อการประสิทธิภาพการทำงานของการเบรก
การซ่อมและเปลี่ยนผ้าเบรค
หากรถของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับผ้าเบรค คุณมาถูกที่แล้วที่ FIT Auto มีช่างผู้เชี่ยวชาญจากความเป็น Auto Service Professional สามารถตรวจสอบและดูแลการเปลี่ยนผ้าเบรค (ทั้งดิสก์และดรัมเบรค) หรือเจียรจานเบรค ซึ่งช่างจะให้บริการตามคำแนะนำของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์นั้นๆ เพื่อให้ลูกค้าของ FIT Auto สบายใจในการขับขี่สูงสุด
เปลี่ยนน้ำมันเบรค
ทุกครั้งที่คุณเหยียบเบรค น้ำมันเบรคจะเข้าไปทำงานในการทำงานของเบรกนั้นๆ เพื่อไปสร้างความดันและช่วยลดความเร็ว ของรถยนต์ เมื่อเวลาผ่านไปน้ำมันเบรกอาจมีการถูกปนเปื้อนและประสิทธิภาพจะลดลง ช่างผู้เชี่ยวชาญที่ FIT Auto จะตรวจสอบรถของคุณ (อยู่ในบริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ 24 รายการ) และสามารถให้คำแนะนำได้ว่าเมื่อไหร่ที่ รถของคุณควรเปลี่ยนน้ำมันเบรก โดย FIT Auto มีผลิตภัณฑ์จาก PTT Lubricants สำหรับน้ำมันเบรกที่ได้มาตรฐาน โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ทุกยี่ห้อ ซึ่งคุณสมบัติของน้ำมันเบรกของ ปตท. นั้น ทำให้สามารถเบรกได้อย่างมั่นใจแม้ใน สภาวะรอบจัด และช่วยป้องกันการบวมของยางและการกัดกร่อนในระบบเบรก ยืดอายุการใช้งานของระบบเบรกและคลัทช์ ได้อย่างยาวนาน ซึ่งมีให้เลือกทั้ง DOT 3 และ DOT 4 เหมาะสำหรับระบบเบรกในรถยนต์ทั่วไป และรถยนต์สมรรถนะสูง

อาการเบรครถมีปัญหาในรถมือสอง
สำหรับรถมือสองที่ใช้งานมานาน เบรคเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดการซ่อมให้เรียบร้อย ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นจะต้องรอให้เกิดปัญหา หากเป็นรถที่เพิ่งได้มา หรือเพิ่งซื้อมา ตัวอย่างอาการบอกเหตุเบรคมีปัญหาแบบต่างๆ
1. น้ำยาเบรคสกปรก แม้จะใช้เบรคได้ตามปกติ แต่ก็ควรเปลี่ยน เพราะน้ำมันเบรกที่สกปรก อาจจะทำให้แม่ปั้มเบรคเกิดตามด และรั่วซึมได้
2. ล้อหลังมีคราบน้ำมันเบรคซึมออกมา หรือคราบที่บ่งบอกว่า ต้องมีอะไรรั่วซึม กรณีนี้ให้ล้างทำความสะอาดดุมล้อเสียก่อน แล้วลองสังเกตุหากมีคราบดินไปเกาะ มีลักษณะเปียกชื้น ดังภาพ ก็แสดงว่า รั่วซึมแน่นอน ควรถอดล้อตรวจเช็ค เพราะยางข้างในเบรคอาจจะเสื่อมสภาพแล้ว
3. เหยียบเบรคแล้วเบรคมีอาการจมลงไปเรื่อยๆ อาการนี้ เบรคอาจจะรั่วหรือแม่ปั๊มเบรคมีปัญหาแน่นอน ซึ่งก็จะมีชุดซ่อมเปลี่ยนยางหรือหากเกิดเป็นตามดข้างในกระบอกแม่ปั๊มเบรค ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งอัน4. ตัวอย่างชุดซ่อมแม่ปั๊มเบรคของ ISUZU TFR หากยางเหล่านี้มีปัญหา ทำให้ลมออกได้ ก็จะทำให้เหยียบเบรคแล้วจม หรือเบรคไม่อยู่
มีรถใช่ไหม? งั้นก็มี 10 ข้อที่ต้องรู้!!
ปัจจุบันการซื้อรถยนต์มีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีผู้ใช้แค่บางกลุ่มเท่านั้นที่จะคำนึงถึงการบำรุงรักษารถยนต์อย่างถูกต้อง ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้นมีชิ้นส่วนประกอบต่างๆกว่า 75,000 ชิ้น และความผิดปกติของชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียวก็อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ การบำรุงรักษารถของคุณด้วยวิธีที่เหมาะสมสามารถที่จะยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยในขณะขับขี่ ยืดอายุการใช้งานของรถ และยังจะช่วยให้ได้ราคาขายต่อสูงหากต้องการขายต่อในอนาคต
1. วางแผนในการซ่อมบำรุง
แรกเริ่มที่สุดคือการวางแผนในการซ่อมบำรุงพวกระบบยางรถยนต์, น้ำมันเครื่อง, ระบบเบรค, ห้องโดยสารและวัสดุภายใน ของเหลวต่างๆ วางแผนของคุณซะสำหรับการตรวจเช็คและซ่อมบำรุงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆของรถคุณ
2. ยาง
ตรวจเช็คให้มั่นใจว่ายางรถยนต์ของคุณมีขนาดที่เหมาะสมและมีแรงดันลมยางที่เหมาะสมตามมาตรฐานจากโรงงานผลิต ควรจะเปลี่ยนยางเมื่อยางสึกหรอถึงจนตำแหน่งที่มีสัญลักษณ์แสดงการสึกหรอ เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้นอาจถามผู้ให้บริการเรื่องยางถึงความสึกหรอของยาง อุปกรณ์วัดแรงดันลมยางเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ราคาไม่แพงและใช้งานได้ง่าย หมั่นตรวจเช็คลมยางของรถและตรวจดูรอยตำหนิหรือรอยชำรุดต่างๆของยางที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะขับขี่ได้ และให้เปลี่ยนทันทีที่ยางเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติขึ้นเกินข้อจำกัดที่จะรับได้
3. น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงสำหรับรถยนต์ ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่องรถยนต์ก็ไม่สามารถใช้งานในส่วนอื่นๆได้อีก หากไม่มีความรู้เรื่องนี้ควรเรียนรู้วิธีการตรวจสอบน้ำมันเครื่องอย่างถูกวิธีจากช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ และควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างน้อยทุก 5,000 กิโลเมตร แม้ว่าทางผู้ผลิตน้ำมันเครื่องจะอ้างว่าน้ำมันเครื่องนั้นสามารถใช้ได้มากกว่า 10,000 กิโลเมตร แต่โดยทั่วไปแล้วน้ำมันเครื่องจะใช้ได้และเต็มประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเครื่องยนต์ที่ 8,000 กิโลเมตร ควรตรวจสอบน้ำมันเครื่องเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อครบกำหนด
4. กระจก
กระจกข้าง กระจกมองหลัง หรือโคมไฟของรถต้องสะอาดและไม่แตกหัก ถ้าหากมีการแตกหักหรือชำรุดให้รีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ให้เร็วที่สุด อาจนำรถเข้าไปซ่อมแซมได้ตามศูนย์ซ่อมต่างๆ หรือต้องรีบเปลี่ยนทันทีหากจำเป็น เพราะฉะนั้นให้หมั่นตรวจเช็คกระจกรถของคุณเสมอ
สำหรับการขับรถควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าไม่ให้ใกล้เกินไป เพราะอาจมีเศษวัสดุจากการบรรทุกกระเด็นหรือเศษวัตถุต่างๆที่หลวมแล้วกระเด็นออกมา แม้จะเป็นเศษหินที่มีขนาดเล็กแต่ก็สามารถที่จะทำให้กระจกรถของคุณเสียหายหนักได้
5. ระบบเบรค, สายพาน และแบตเตอรี่
ระบบเบรคของรถยนต์รุ่นใหม่ๆนั้นได้รับการออกแบบให้ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ เพื่อให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา ถ้าหากเกิดปัญหาหรือความผิดปกติใดขึ้นกับเบรคให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็คทันที ซึ่งถ้าหากระบบทำงานผิดพลาด หมายความว่าคุณกำลังตกอยู่ในความอันตรายอย่างยิ่งในขณะใช้รถ
ตรวจเช็คสายพานอย่างสม่ำเสมอถึงความสึกหรอหรือความหย่อนยานของสายพาน สายพานเมื่อยานเกินไปมักจะมีเสียงดัง ควรนำรถเข้าตรวจเช็คทันที่เมื่อได้ยินเสียงดังกลาว
ตรวจเช็คแบตเตอรี่อย่างน้อยเดือนละครั้งสำหรับการกัดกร่อนที่ขั้วของแบตเตอรี่ ปริมาณน้ำกลั่นในแบตให้มีปริมาณน้ำกลั่นไม่ต่ำกว่าแถบแสดงระดับต่ำ(สำหรับรุ่นที่ต้องเติมน้ำกลั่น) พร้อมทั้งทำความสะอาดด้วยตามความจำเป็น พยายามอย่าใช้ไฟในแบตเตอรี่จนหมด แม้ว่าจะสามารถประจุไฟใหม่ได้ด้วยการพ่วงแบตเตอรี่แต่ก็ไม่แนะนำ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ให้ระวังที่การใส่สายไฟที่ขั้วของแบตเตอรี่ ต้องใส่ให้ถูกขั้วทุกครั้ง
6. ห้องโดยสารและวัสดุภายใน
ทำความสะอาดและดูดฝุ่นตามห้องโดยสารภายในให้สะอาด สภาพโดยรวมของวัสดุและห้องโดยสารภายในเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในการประเมินราคาสำหรับขายรถต่อ เพราะคนส่วนมากไม่ได้สนใจมากเกี่ยวกับสิ่งอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ยางหรือเครื่องยนต์ แต่ถ้าหากว่าเครื่องเสียงใช้งานไม่ได้หรือว่าสภาพห้องโดยสารภายในนั้นสกปรก การประเมินราคาตกลงอย่างมาก หรือจะบอกอีกทางก็คือการพิจารณามูลค่าในการขายรถยนต์ จะพิจารณาจากลักษณะภายในห้องโดยสารเป็นหลัก ถ้าหากคุณต้องการจะขายรถต่อในราคาที่ไม่ตกมากนั้น การใช้เงินสำหรับค่าล้างรถ ดูดฝุ่น และเคลือบหรือขัดเงาตามวัสดุต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเมื่อจะนำรถไปประเมินราคาขายต่อ
7. ของเหลวต่างๆ
นอกจากน้ำมันเครื่องที่เปรียบเสมือนเลือดสำหรับหล่อเลี้ยงรถยนต์แล้ว ของเหลวต่างๆที่ใช้อยู่ภายในรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน น้ำยาหล่อเย็น, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเฟืองท้าย, น้ำมันเบรก หรือของเหลวอื่นๆ ควรจะได้รับการตรวจเช็คให้อยู่เหนือกว่าระดับต่ำสุดอย่างน้อยๆสัปดาห์ละครั้ง และเปลี่ยนถ่ายเมื่อครบกำหนด สำหรับวิธีในการตรวจเช็คอาจเรียนรู้ได้จากช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ
8. ระบบไฟ
คุณควรตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่างของรถคุณโดยใช้สถานที่ที่คุณสามารถจอดรถและเห็นเงาสะท้อนของรถคุณได้อย่างชัดเจน หรือหาผู้ช่วยสักคนเพื่อเดินรอบรถของคุณขณะที่คุณทำการทดสอบเปิดการทำงานของระบบไฟส่องสว่าง ไฟท้าย ไฟถอยหลัง และไฟเลี้ยวของรถคุณ
ระบบไฟส่องสว่างควรจะโฟกัสไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ทิศทางของลำแสงที่ออกจากโคมไฟหน้าจะต้องพุ่งไปด้านหน้าและเป็นมุมที่โฟกัสตกลงบนพื้นถนน จะต้องไม่พุ่งขึ้นฟ้าหรือแค่พุ่งเข้าตรงกลาง ซึ่งคุณสามารถที่จะสังเกตทิศทางลำแสงของรถคุณได้จากการขับรถในตอนกลางคืน ซึ่งหากทิศทางของลำแสงนั้นพุ่งสูงเกินไปก็อาจจะไปแยงตาของผู้ที่ขับขี่สวนมาทำให้เกิดอันตรายได้ หรือถ้าหากทิศทางลำแสงนั้นต่ำเกินไป ก็จะเป็นการจำกัดระยะมองเห็นในการขับขี่ของคุณ ทำให้การทัศนวิสัยในการใช้รถตอนกลางคืนเป็นไปได้อย่างยากลำบากและอันตราย
9. ที่ปัดน้ำฝน
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนด้วยตัวเอง เพียงแค่ปีละครั้งก่อนฤดูฝน หรือจะเปลี่ยนชุดประกอบทั้งหมดของที่ปัดน้ำฝนก็ได้ถ้าหากจำเป็น และหากคุณขับรถบ่อยในสถานที่ที่มีสภาพเปียกชื้น คุณอาจต้องใช้น้ำยาสำหรับรักษากระจกเพิ่มเติมเพื่อถนอมสภาพของกระจกหน้ารถของคุณ
10. ระบบควบคุมการปล่อยไอเสีย
ขึ้นกับมาตรฐานการปล่อยไอเสียของแต่ละประเทศ บางประเทศอาจมีการตรวจการปล่อยไอเสียเป็นระยะๆด้วย โดยผู้เชียวชาญจะต้องทำการวินิจฉัยเซ็นเซอร์ออกซิเจนและวาล์ว EGR สำหรับคำนวณการปล่อยไอเสีย ซึ่งทั้งเซ็นเซอร์และวาล์ว EGR เป็นส่วนที่หากทำงานผิดปกติแล้วจะมีผลต่อการปล่อยไอเสีย